Skip to main content

วิธีปรับกลยุทธ์บริหารความเสี่ยงเพื่อรับมือความเสี่ยงด้านขนส่งสินค้า (Cargo Risk) และ การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Disruption) ในสภาพแวดล้อมทางการค้าที่ไม่แน่นอน

ท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้น เศรษฐกิจชะลอตัว และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ หนึ่งในภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ “การขนส่งทางเรือ” ผู้ส่งออกสินค้าและตัวแทนขนส่ง (Freight Forwarders) ต้องเผชิญความเสี่ยงทั้งด้านการดำเนินงานและการเงิน รวมถึงปัญหาท่าเรือแออัด เส้นทางการค้าถูกเปลี่ยน เส้นทางเดินเรือยาวนานขึ้น ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงของเครือข่ายห่วงโซ่อุปทาน

ล่าสุดเบี้ยประกันภัยความเสี่ยงจากสงคราม (War Risk Insurance) สำหรับเรือที่เดินทางผ่านทะเลแดงและอ่าวเปอร์เซีย ปรับเพิ่มจาก 0.3% เป็นสูงสุดถึง 1% ของมูลค่าของตัวเรือ (hull value) สำหรับเรือขนส่งสินค้ามาตรฐานที่มีมูลค่า 100 ล้านดอลลาร์ เท่ากับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอีก 1 ล้านดอลลาร์ต่อเที่ยว และขณะเดียวกัน ใบเสนอราคาจาก War Lead Underwriters ตอนนี้มีอายุเพียง 24 ชั่วโมง ลดลงจากเดิมที่ 48 ชั่วโมง

สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องนี้ทำให้ความผันผวนเพิ่มขึ้น จากนโยบายการค้าที่ถ่ายโอนภาระไปยังตลาดต่าง ๆ ขณะเดียวกันก็สนับสนุนความร่วมมือทางการค้าระดับภูมิภาค การเปลี่ยนแปลงนี้ยังเร่งกลยุทธ์การกระจายความเสี่ยงและปรับแผนที่ห่วงโซ่อุปทานระดับโลกใหม่อีกด้วย

ทำไมความไม่แน่นอนด้านการค้าจึงเป็นความท้าทายใหญ่สำหรับผู้ส่งออกสินค้าและ Freight Forwarders ในเอเชีย

ผู้ส่งออกสินค้า (Cargo Owners):

  1. ผู้ส่งออกในเอเชียปรับกลยุทธ์อย่างระมัดระวัง ท่ามกลางปัญหาท่าเรือแออัดและความล่าช้าในการขนส่งที่กระทบเส้นทางการค้าระดับโลก 
    ผู้ส่งออกในเอเชียกำลังใช้กลยุทธ์ “รอดูท่าที” ซึ่งนำไปสู่การเก็บสินค้านานขึ้นและความล่าช้าในการดำเนินงาน ปัญหาท่าเรือแออัดที่ทวีความรุนแรงจากเหตุการณ์ความไม่สงบในทะเลแดงทำให้การเดินทางทางเรือยาวนานยิ่งขึ้น เมื่อรวมกับต้นทุนปลายทางที่สูงและการผ่านศุลกากรที่ล่าช้า ทำให้ผู้ส่งออกจำนวนมากจึงเริ่มทบทวนเส้นทางการค้าและแหล่งจัดหาสินค้าใหม่

  2. ผู้ผลิตข้ามพรมแดนเผชิญต้นทุนสูงขึ้นและความท้าทายด้านห่วงโซ่อุปทาน
    สำหรับผู้ผลิตที่มีการจัดหา ผลิต และประกอบสินค้าหลายประเทศ การเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าส่งผลต่อต้นทุนในทุกขั้นตอนของห่วงโซ่อุปทาน ผลกระทบนี้ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นและกลยุทธ์การตั้งราคาซับซ้อนมากขึ้น หลายบริษัทจึงเริ่มหันมาพึ่งที่ปรึกษาศุลกากรและผู้เชี่ยวชาญด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบ เพื่อปรับโครงสร้างราคาขายและลดภาระค่าใช้จ่ายจากภาษีและค่าธรรมเนียม

ตัวแทนขนส่งสินค้า (Freight Forwarders):

  • ต้นทุนการเก็บรักษาสินค้าที่สูงขึ้นและสัญญาเต็มมูลค่ากำลังเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์เชิงพาณิชย์
    การเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าส่งผลให้ต้นทุนถูกกระจายใหม่ เกิดค่าปรับจากความล่าช้า เพิ่มภาระการปฏิบัติตามกฎข้อบังคับ และทำให้ต้องเจรจาสัญญาขนส่งสินค้าใหม่เร็วขึ้น เพื่อตอบสนองต่อประเด็นต่างๆ Freight Forwarders จึงเพิ่มบทบาทการให้คำปรึกษา ทั้งการวิเคราะห์ผลกระทบ การตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎ และ “วิศวกรรมห่วงโซ่อุปทาน” เพื่อช่วยผู้ประกอบการส่งออกสินค้าในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงนี้

อ่านเพิ่มเติม: ปัญหาท่าเรือแออัดและสภาพอากาศสุดขั้ว – ผลกระทบจากความล่าช้าในการขนส่งต่อธุรกิจทางทะเล

บริการด้านการบริหารความเสี่ยงเพื่อรับมือ Cargo Risk และความไม่ต่อเนื่องของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Disruption)

กลยุทธ์ด้านประกันภัย (Insurance Strategies):

  • ตรวจสอบข้อจำกัดของนโยบาย เงื่อนไขการเก็บสินค้าในคลัง และวิธีการประเมินค่าอีกครั้ง
  • ขยายความคุ้มครองการเก็บสินค้าชั่วคราว ผ่านกรมธรรม์ขนส่งสินค้า (Cargo Policy) หรือโปรแกรม Stock Throughput
  • ตรวจสอบว่ากรมธรรม์ประกันความรับผิดของผู้ให้บริการโลจิสติกส์ครอบคลุมถึงความผิดพลาดและการละเว้น (Errors and omissions - E&O) ด้วยหรือไม่

การจำลองเครือข่ายห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Network Modelling):

  • จำลองสถานการณ์การหยุดชะงักทางการค้าแบบเรียลไทม์
  • เพิ่มการมองเห็นในเส้นทางและลำดับในห่วงโซ่อุปทาน
  • ประเมินความเสี่ยงด้านการเงินที่อาจเกิดขึ้น เพื่อกำหนดกลยุทธ์ความเสี่ยงที่แม่นยำยิ่งขึ้น

Marsh นำเสนอการจัดการความซับซ้อนเหล่านี้ด้วย Sentrisk แพลตฟอร์มเฉพาะของเรา ที่มอบข้อมูลเชิงลึกด้านภาษีและค่าธรรมเนียมปัจจุบัน พร้อมการแสดงผลความเชื่อมโยงของซัพพลายเออร์ตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่าหรือกระบวนการธุรกิจของคุณ

Sentrisk สามารถจำลองสถานการณ์ (Scenario Modelling) และทำการทดสอบเพื่อประเมินความแข็งแกร่งทางการเงิน (Financial Stress Testing) เพื่อระบุความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นและประเมินผลกระทบ การใช้ระบบที่ชาญฉลาดนี้จะช่วยให้คุณสามารถปรับเส้นทางการขนส่งให้เหมาะสม เลือกซัพพลายเออร์ทางเลือก และต่อรองเงื่อนไขที่ดีกว่าได้ ด้วยการติดตามแบบเรียลไทม์ ซึ่งจะทำให้ธุรกิจของคุณสามารถตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ได้ทันท่วงที เพื่อเสริมความยืดหยุ่น รักษากำไร และก้าวนำหน้าความเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

อ่านเพิ่มเติม: 3 วิธีที่ AI ช่วยเพิ่มการมองเห็นในห่วงโซ่อุปทานในการรับมือความเสี่ยงด้านภาษีและค่าธรรมเนียม

ทำไมต้องเลือก Marsh

Marsh ทำงานร่วมกับผู้ส่งออกสินค้า ตัวแทนขนส่ง (Freight Forwarders) และผู้ให้บริการโลจิสติกส์ชั้นนำทั่วเอเชีย เพื่อจัดการความเสี่ยงที่ซับซ้อนในสภาพแวดล้อมทางการค้าที่ผันผวนในปัจจุบัน ซึ่ง Marsh ช่วยธุรกิจในเอเชียประเมินความเสี่ยงจากภาษีและค่าธรรมเนียม ปรับกลยุทธ์ประกันภัยให้เหมาะสม เสริมความยืดหยุ่นของซัพพลายเชน และปกป้องความต่อเนื่องทางธุรกิจ ด้วยแพลตฟอร์ม Sentrisk ที่ขับเคลื่อนด้วย AI และผสมผสานกับความเชี่ยวชาญด้านการประกันภัยทางทะเล การขนส่งสินค้า และโลจิสติกส์ ของ Marsh

Marsh มีผลงานที่พิสูจน์ได้จริง โดยได้พัฒนาโซลูชันนวัตกรรม เช่น ประกันภัยความเสี่ยงจากการหยุดชะงักทางการค้า (Trade Disruption Insurance) และประกันภัยความเสี่ยงจากสงครามและการนัดหยุดงาน (War and Strikes Risk) เพื่อตอบโจทย์ความเสี่ยงด้านการขนส่งสินค้าที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

ติดต่อ Marsh วันนี้ เพื่อประเมินความเสี่ยงจากภาษีและค่าธรรมเนียม และปรับกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงของคุณให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

Please note that Marsh PB Co., Ltd and Marsh McLennan are not engaged by nor involved in any manner with Bonus Ranch and its promotion, and has not placed any insurance for nor insured any of its businesses or operations. Marsh as a licensed insurance broker will not request customers to make payment via non-standard methods, such as the transfer of money to any individual’s bank account.