Skip to main content

3 ความเสี่ยงของธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ที่ผู้พัฒนา เจ้าของ ผู้เช่า และผู้ดำเนินงานต้องเผชิญ: การจัดการความเสี่ยงของสัญญาก่อสร้าง การประกันแหล่งพลังงานที่ยั่งยืน และการรับมือกับความรับผิดด้านความปลอดภัยไซเบอร์ กลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อรับมือกับความซับซ้อนเหล่านี้

การลงทุนด้านดาต้าเซ็นเตอร์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกคาดว่าจะพุ่งแตะ 564 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2028 หรือเติบโตถึง 20% ต่อปี โดยได้รับแรงหนุนจากการขยายตัวของดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ (hyperscale) และการใช้งานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว1

 

การเติบโตของการก่อสร้างดาต้าเซ็นเตอร์กำลังพลิกโฉมหน้าของเทคโนโลยี แต่การเติบโตอย่างรวดเร็วนี้ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกัน ทั้งสำหรับเจ้าของที่ดิน ผู้เช่า และผู้ดำเนินงาน ซึ่งความเสี่ยงหลัก ได้แก่ การจัดการความเสี่ยงของสัญญาก่อสร้างและการชดเชยแรงงานที่เกี่ยวข้องกับผู้รับเหมาหลายราย การประกันแหล่งพลังงานที่ยั่งยืนและมีเสถียรภาพ รวมไปถึงการป้องกันความรับผิดด้านไซเบอร์และการปฏิบัติตามข้อกำหนดต่างๆ

ความเสี่ยงที่ 1: ผู้พัฒนาดาต้าเซ็นเตอร์จะลดภาระทางการเงินจากความคุ้มครองประกันภัยที่ไม่เพียงพอซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาทางกฎหมายและความล่าช้าของโครงการได้อย่างไร

ความท้าทาย

ผู้รับเหมารายย่อยมักจัดหาประกันภัยก่อสร้างของตนเอง ซึ่งอาจนำไปสู่ประเด็นดังนี้

  • นโยบายที่ไม่สอดคล้องกันและมีช่องว่างในด้านความคุ้มครอง ซึ่งอาจพบปัญหาเมื่อมีการเรียกร้องค่าสินไหม
  • กระบวนการเรียกร้องค่าสินไหมที่ยุ่งยาก เนื่องจากเกี่ยวข้องกับผู้รับเหมาหลายราย ทำให้ขาดความชัดเจนว่านโยบายใดใช้กับกรณีใด

หากผู้รับเหมารายหนึ่งไม่มีความคุ้มครองเพียงพอ เจ้าของโครงการก่อสร้างอาจต้องรับภาระทางการเงิน ซึ่งนำไปสู่ข้อพิพาทกับบริษัทประกัน ความล่าช้าของโครงการ และปัญหาทางกฎหมาย

 

นอกเหนือจากการวางโครงสร้างประกันภัย ผู้พัฒนาดาต้าเซ็นเตอร์ควรให้ความสำคัญกับการจัดการความเสี่ยงด้านกรรมสิทธิ์ที่ไม่สมบูรณ์อย่างจริงจัง การมีเอกสารสิทธิ์ที่ชัดเจนและถูกต้องมีความจำเป็น เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการเช่าย่อย การรุกล้ำแนวเขต หรือการฉ้อโกง การละเลยประเด็นนี้อาจทำให้เกิดความล่าช้าในการก่อสร้าง สูญเสียทรัพย์สิน หรือเกิดข้อพิพาททางกฎหมายที่มีค่าใช้จ่ายสูง

 

กลยุทธ์การบริหารความเสี่ยง

เจ้าของโครงการสามารถดำเนินการใช้ “โปรแกรมประกันภัยที่ควบคุมโดยเจ้าของโครงการ” หรือ Owner-Controlled Insurance Program (OCIP) เพื่อควบคุมความคุ้มครองสำหรับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง แทนการให้ผู้รับเหมาแต่ละรายจัดหาประกันของตนเอง โปรแกรมนี้จะบริหารโดยเจ้าของโครงการหรือโบรกเกอร์ประกันภัย โดยดูแลการลงทะเบียนและการรักษาความคุ้มครองตลอดระยะเวลาโครงการ OCIP ช่วยลดความซ้ำซ้อนของเบี้ยประกันภัยและเพิ่มประสิทธิภาพด้านความปลอดภัย โดยเฉพาะสำหรับโครงการขนาดใหญ่

ประกันภัยความเสี่ยงเชิงธุรกรรม ( Transactional risk insurance) ช่วยเพิ่มความมั่นใจในดีลการลงทุน ด้วยการคุ้มครองความเสี่ยงด้านกรรมสิทธิ์ที่บกพร่องซึ่งอาจนำไปสู่ความเสียหายทางกฎหมายและการเงินได้ เพื่อจัดการความเสี่ยงจากกรรมสิทธิ์ที่มีข้อบกพร่องอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถพิจารณาทางเลือกประกันภัยความเสี่ยงตามเงื่อนไขที่คุ้มครองปัญหากรรมสิทธิ์ที่ทราบอยู่แล้ว และประกันกรรมสิทธิ์แบบเดี่ยวที่คุ้มครองปัญหากรรมสิทธิ์ที่ไม่ทราบมาก่อน

ความเสี่ยงที่ 2: วิธีที่จะช่วยสร้างความมั่นใจว่าแหล่งพลังงานที่ใช้กับดาต้าเซ็นเตอร์มีความยั่งยืนและมีเสถียรภาพ

IEA คาดว่าความต้องการไฟฟ้าทั่วโลกจากดาต้าเซ็นเตอร์จะพุ่งสูงถึง 945 เทราวัตต์ชั่วโมง (TWh) ภายในปี 2030 ซึ่งมากกว่าปริมาณปัจจุบันถึงสองเท่า โดยมี AI เป็นแรงขับเคลื่อนหลัก2 สำหรับมาเลเซีย ความต้องการพลังงานจากดาต้าเซ็นเตอร์คาดว่าจะทะลุ 11,000 เมกะวัตต์ (MW) คิดเป็นกว่า 40% ของกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งของประเทศในปัจจุบัน3



ความท้าทาย

ความต้องการที่สูงผิดปกตินี้สร้างแรงกดดันต่อโครงข่ายไฟฟ้าและระบบสำรองอย่างมาก ในขณะเดียวกัน การพึ่งพาพลังงานหมุนเวียนที่มีเสถียรภาพน้อยและระบบแบตเตอรี่ลิเทียมยังนำมาซึ่งความซับซ้อนและความเสี่ยงใหม่ๆ

 

สภาพอากาศร้อนจัดเพิ่มการใช้พลังงานสำหรับระบบระบายความร้อนอย่างมหาศาล เสี่ยงต่อการเกิดภาวะร้อนเกิน (overheat) และระบบล่ม อีกทั้ง ความร้อนยังส่งผลต่อโครงสร้างอาคารดาต้าเซ็นเตอร์ และภัยแล้งต่อเนื่องก็ยิ่งซ้ำเติมการขาดแคลนน้ำ ทำให้ระบบระบายความร้อนทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ

 

เหตุการณ์จริงสะท้อนถึงช่องโหว่เหล่านี้ เช่น เหตุเพลิงไหม้ที่ศูนย์ของ SK Group ในกรุงโซลปี 2022 ที่ทำให้ระบบสื่อสารหยุดชะงักทั่วเกาหลีใต้ ทำให้เกิดมูลค่าสูญเสียกว่า 27.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ4 หรือการที่ระบบระบายความร้อนของดาต้าเซ็นเตอร์ Microsoft ในสิงคโปร์ล้มเหลวช่วงต้นปี 2023 ทำให้เกิดการหยุดชะงักทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้5


กลยุทธ์การบริหารความเสี่ยง

เมื่อดาต้าเซ็นเตอร์ดำเนินกลยุทธ์ด้านพลังงานระยะยาว เช่น การติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์บนหลังคา การใช้ระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ และระบบทำความเย็นรุ่นใหม่ เป็นต้น ดาต้าเซ็นเตอร์เหล่านี้ยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นใหม่ ซึ่งรวมถึงความเสถียรภาพของการจ่ายพลังงาน ความผันผวนของราคา ความยั่งยืน และความปลอดภัยจากอัคคีภัย

  • การประเมินวิศวกรรมความเสี่ยง ช่วยตรวจสอบระบบสำคัญ เช่น แหล่งพลังงาน ระบบระบายความร้อน ระบบป้องกันอัคคีภัย และโครงสร้างควบคุมส่วนกลาง ทั้งในช่วงออกแบบอาคารใหม่และการประเมินความยืดหยุ่นของดาต้าเซ็นเตอร์เดิม
  • การวิเคราะห์ความเสี่ยงทางกายภาพจากสภาพภูมิอากาศ ให้ภาพรวมที่ชัดเจนเกี่ยวกับภัยพิบัติที่ดาต้าเซ็นเตอร์อาจเผชิญในอีก 10–15 ปีข้างหน้า พร้อมแนวทางการเสริมความยืดหยุ่น
  • การวางแผนธุรกิจต่อเนื่องและการจัดการวิกฤต รวมถึงระบบไฟสำรอง (UPS) เครื่องปั่นไฟดีเซล และพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อให้มั่นใจว่าระบบจะไม่ล่ม
  • ประกันภัยแบบพาราเมตริก ช่วยบริหารความเสี่ยงด้านพลังงานจากสภาพอากาศ โดยเปิดความคุ้มครองเมื่อเกิดเงื่อนไขที่กำหนด เช่น ความเร็วลม หรือปริมาณฝน เป็นต้น ที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานอิสระ

การวางแผนล่วงหน้าอย่างรอบคอบและการประเมินระดับระบบอย่างจริงจัง จะช่วยให้องค์กรสามารถจัดการความเสี่ยงด้านพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและเสริมความแข็งแกร่งของการดำเนินงาน

ความเสี่ยงที่ 3: แนวทางการปกป้องดาต้าเซ็นเตอร์จากความรับผิดด้านความปลอดภัยไซเบอร์และการปฏิบัติตามกฎระเบียบ

“หากระบบของผู้เช่าดาต้าเซ็นเตอร์ถูกเจาะ เนื่องจากช่องโหว่ในระบบจัดการกลางของอาคาร ใครจะต้องรับผิดชอบต่อความเสียหาย ข้อกำหนดคุ้มครอง (indemnity) จะมีผลอย่างไร หากฝ่ายหนึ่งทำให้ฝ่ายอื่นสูญเสียทางการเงิน”

 

หนึ่งในความท้าทายเร่งด่วนที่สุดของดาต้าเซ็นเตอร์ในปัจจุบันคือ ความไม่ชัดเจนที่เกี่ยวข้องกับด้านความรับผิดทางไซเบอร์

 

ในดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ที่โครงสร้างพื้นฐานโดยระหว่างผู้พัฒนา เจ้าของ ผู้เช่า และผู้ดำเนินการ ใช้ร่วมกัน ซึ่งการเกิดเหตุการณ์ทางไซเบอร์เพียงครั้งเดียวสามารถนำไปสู่ความเสียหายทั้งในเชิงปฏิบัติ กฎหมาย และการเงิน

 

เหตุการณ์โจมตีไซเบอร์ในดาต้าเซ็นเตอร์ในเอเชียช่วงปี 2021–2023 แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงที่ชัดเจน แฮกเกอร์ใช้ช่องโหว่ในโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้ร่วมกัน เข้าถึงข้อมูลสำคัญของผู้เช่าหลายราย ก่อให้เกิดคำถามด้านความรับผิดชอบและการควบคุม

 

เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนเกี่ยวกับความรับผิดด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ ดาต้าเซ็นเตอร์ควรพิจารณาใช้โปรแกรมประกันภัยแบบบูรณาการที่ครอบคลุมทั้งประกันภัยไซเบอร์สำหรับความเสียหายโดยตรง (First-party cyber coverage) ประกันภัยไซเบอร์สำหรับความเสียหายต่อบุคคลที่สาม (Third-party cyber coverage) และประกันภัยความผิดพลาดหรือการละเลยทางเทคโนโลยี (Technology Errors & Omissions หรือ E&O) เพื่อให้มั่นใจว่ามีความคุ้มครองที่เพียงพอในช่วงวิกฤต

เสริมความยืดหยุ่นในทุกขั้นตอนของวงจรชีวิตดาต้าเซ็นเตอร์

ที่ Marsh เราพร้อมช่วยลูกค้าในทุกขั้นตอนตลอดวงจรชีวิตดาต้าเซ็นเตอร์ entire data centre lifecycle ด้วยความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในอุตสาหกรรม และแนวทางบริหารความเสี่ยงที่เป็นรูปธรรม รวมถึงมีเครือข่ายระดับโลกและความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ในเอเชีย Marsh  เป็นที่ปรึกษาด้านความเสี่ยงให้กับผู้ให้บริการคลาวด์และดาต้าเซ็นเตอร์รายใหญ่ที่สุดของโลกกว่า 80% 

 

Marsh เป็นปรึกษาความเสี่ยงที่เชื่อถือได้และมุ่งมั่นเพื่อขับเคลื่อนความสำเร็จในโครงการดาต้าเซ็นเตอร์ให้กับองค์กรคุณอย่างมั่นคง

องค์กรคุณพร้อมยกระดับกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงแล้วหรือยัง

ติดต่อ Marsh เพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมถึงวิธีที่เราสามารถช่วยคุณบริหารจัดการความเสี่ยงที่ซับซ้อนของธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์

Our People

Placeholder Image

Larry Liu

Communications, Media, and Technology (CMT) Industry Leader, Marsh Asia

  • China

Please note that Marsh PB Co., Ltd and Marsh McLennan are not engaged by nor involved in any manner with Bonus Ranch and its promotion, and has not placed any insurance for nor insured any of its businesses or operations. Marsh as a licensed insurance broker will not request customers to make payment via non-standard methods, such as the transfer of money to any individual’s bank account.