การถล่มของอาคารสูง 33 ชั้นที่กำลังก่อสร้างในกรุงเทพฯ ซึ่งเกิดจากแผ่นดินไหวขนาด 7.7 ที่เมียนมา นำไปสู่การเรียกร้องค่าสินไหมประกันภัยกว่า 29 ล้านเหรียญสหรัฐ เหตุการณ์เช่นนี้ตอกย้ำถึงผลกระทบอันรุนแรงของภัยพิบัติที่คาดไม่ถึง และเผยให้เห็นถึงความสำคัญของการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างรอบด้าน
ลองพิจารณาคำถามเหล่านี้ เพื่อประเมินว่าองค์กรของคุณพร้อมรับมือกับภัยธรรมชาติในอนาคตแล้วหรือยัง
ช่องว่างด้านความคุ้มครองประกันภัย (Protection Gap) เกิดขึ้นเมื่อความคุ้มครองที่มีอยู่ไม่สะท้อนมูลค่าหรือระดับความเสี่ยงขององค์กรอย่างแท้จริง Marsh ขอแนะนำ 6 ขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้ความคุ้มครองประกันภัยของคุณครอบคลุมความเสี่ยงที่มีการเปลี่ยนแปลง
วิศวกรรมความเสี่ยง (risk engineering) คืออะไร
วิศวกรรมความเสี่ยงคือการนำหลักวิศวกรรมมาใช้ในกระบวนการบริหารความเสี่ยง เพื่อตรวจสอบจุดอ่อนในโครงสร้างและระบบการดำเนินงานอย่างมีหลักฐานเชิงประจักษ์
ประโยชน์ของวิศวกรรมความเสี่ยง
ลดช่องโหว่ในระบบบริหารความเสี่ยง ที่ส่งผลให้เกิดการไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานกฎระเบียบล่าสุดหรือการกำกับดูแลการออกแบบที่มีข้อบกพร่องในระหว่างการก่อสร้างหรือการปรับปรุงต่างๆ ซึ่งอาจนำไปสู่ความซับซ้อนในการเรียกร้องประกันภัยในกรณีที่เกิดการสูญเสีย
ตัวอย่างโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำในเอเชียที่ลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมและป้องกันความล่าช้าด้วยบริการของ Marsh
โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำแห่งหนึ่งในเอเชียเผชิญปัญหาความล่าช้าเนื่องจากความเสี่ยงจากฝนตามฤดูกาล ทีมวิศวกรรมความเสี่ยงและที่ปรึกษาสภาพภูมิอากาศของ Marsh ได้ดำเนินการศึกษาเชิงลึก โดยเชื่อมโยงรูปแบบปริมาณฝนและระดับแม่น้ำเข้ากับปรากฏการณ์สภาพภูมิอากาศขนาดใหญ่ เช่น เอลนีโญและลานีญา เป็นต้น
ผลการศึกษานี้นำไปสู่การปรับแบบทางวิศวกรรมและการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ล่วงหน้าเกี่ยวกับมาตรการป้องกันน้ำท่วม ข้อมูลเชิงลึกดังกล่าวช่วยให้ลูกค้าหลีกเลี่ยงความล่าช้าและความเสียหายที่จะทำให้เกิดค่าใช้จ่ายสูงในช่วงฤดูฝน ซึ่งทำให้เน้นย้ำความสำคัญของการดำเนินการวิศวกรรมความเสี่ยงเชิงรุกที่มีต่อความต่อเนื่องของโครงการ
ด้วยต้นทุนการฟื้นฟูที่เพิ่มสูงขึ้นจากเงินเฟ้อและการเปลี่ยนแปลงด้านภาษีล่าสุดทั่วโลก องค์กรของคุณอาจมีความเสี่ยงที่ความคุ้มครองประกันภัยจะไม่เพียงพอ หากมูลค่าที่แจ้งไว้ต่ำกว่าความเป็นจริง ซึ่งอาจกระทบต่อความสามารถในการฟื้นตัวของธุรกิจหลังเกิดเหตุการณ์ที่สร้างความเสียหาย
อย่างไรก็ตาม หลายองค์กรอาจขาดความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในการประเมินต้นทุนการทดแทนและปรับปรุงมูลค่าที่แจ้งไว้ให้สะท้อนความเป็นจริง ซึ่งจะทำให้ธุรกิจเผชิญความเสี่ยงทางการเงิน และเปิดช่องให้เกิดช่องว่างในความคุ้มครองได้
ประโยชน์จากบริการของ Marsh ในการประเมินมูลค่าทรัพย์สิน
บริษัทข้ามชาติที่สามารถเรียกร้องค่าสินไหมมูลค่ามหาศาลได้ด้วยการปรับปรุงมูลค่าทรัพย์สินร่วมกับทีม Valuation Advisory ของ Marsh
บริษัทข้ามชาติแห่งหนึ่งได้ว่าจ้าง Marsh ให้ประเมินมูลค่าประกันทรัพย์สินหลักอย่างมืออาชีพ พบว่ามูลค่าที่แจ้งไว้นั้นต่ำกว่าราคาประเมินประมาณ 35% การปรับมูลค่าดังกล่าวทำให้สามารถยกเลิกเงื่อนไขกรมธรรม์ที่จำกัดการชดเชย เช่น เงื่อนไขทั่วไป ภายในปีนโยบายเดียวกัน บริษัทประสบเหตุการณ์ใหญ่ที่นำไปสู่การเรียกร้องค่าสินไหมกว่าหลายล้านดอลลาร์สหรัฐ หากไม่มีการประเมินมูลค่าทรัพย์สินล่วงหน้า การชดเชยที่ได้รับอาจถูกปรับให้น้อยลงอย่างมาก กรณีนี้จึงเน้นย้ำถึงความสำคัญของการประเมินมูลค่าอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรักษาความเชื่อมั่นจากผู้รับประกันภัยและให้มั่นใจว่าธุรกิจจะฟื้นตัวได้เต็มที่
ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก (Business Interruption หรือ BI) มีบทบาทสำคัญในการรักษาความต่อเนื่องทางธุรกิจ อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพของประกัน BI จะขึ้นอยู่กับโมเดลการประเมินความเสี่ยงที่ครอบคลุมปัจจัยอย่างความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ การหยุดชะงักทางเทคโนโลยี และเหตุการณ์สภาพภูมิอากาศสุดขั้ว เป็นต้น
องค์กรอาจมองข้ามความเสี่ยงแฝง อาทิ การโจมตีทางไซเบอร์แบบเงียบ ซึ่งอาจสร้างความเสียหายภายใต้กรมธรรม์ทรัพย์สินแบบดั้งเดิมที่ไม่ระบุหรืออธิบายข้อยกเว้นอย่างชัดเจน หากไม่ได้มีการทบทวนอย่างละเอียด องค์กรของคุณอาจพบช่องว่างในความคุ้มครองโดยไม่ทันตั้งตัว
การระบุมูลค่าความคุ้มครองจากการหยุดชะงักทางธุรกิจ (BI) อย่างแม่นยำ จำเป็นต้องพิจารณามากกว่าแค่ตัวเลขรายได้ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านบัญชีนิติเวชของ Marsh พร้อมช่วยให้องค์กรของคุณตัดสินใจเรื่องขอบเขตความคุ้มครองและโครงสร้างกรมธรรม์ได้อย่างมีข้อมูลรองรับ ด้วยบริการดังต่อไปนี้
หลังจากประเมินระดับความเสี่ยงขององค์กรแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการตัดสินใจว่าองค์กรของคุณสามารถรับความสูญเสียได้ในระดับใด และควรโอนความเสี่ยงส่วนใดผ่านโปรแกรมประกันภัยทั่วไป หรือบริการการโอนความเสี่ยงทางเลือก เช่น ประกันภัยแบบพาราเมตริก เป็นต้น ทั้งนี้ หากคุณเลือกจะรับความเสี่ยงเอง ควรพิจารณาว่าการตั้งบริษัท Captive จะตอบโจทย์หรือไม่ กรอบแนวคิด Risk Finance Optimisation (RFO) ของ Marsh ช่วยตอบคำถามเหล่านี้ด้วยโมเดลทางการเงินขั้นสูง พร้อมทั้งเสนอข้อมูลเชิงลึกในการกำหนดเบี้ยประกันที่ยุติธรรมสำหรับระดับการโอนความเสี่ยงที่คุณเลือก
บริษัทข้ามชาติด้านการผลิตที่ควบคุมต้นทุนและเพิ่มความคุ้มครองได้ ด้วย RFO ของ Marsh
บริษัทผู้ผลิตข้ามชาติแห่งหนึ่งต้องเผชิญกับเบี้ยประกันที่พุ่งสูงขึ้น จึงใช้โมเดล RFO ของ Marsh เพื่อประเมินโปรแกรมประกันภัยใหม่ ผลลัพธ์คือการเพิ่มระดับการรับความเสี่ยงภายในองค์กรเป็น 3 เท่า โดยยังคงความคุ้มครองหลักไว้ครบถ้วน พร้อมทั้งลดต้นทุนโดยรวมลงอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ โมเดลยังแนะนำให้ใช้ประกันพาราเมตริก ซึ่งจ่ายค่าชดเชยตามเหตุการณ์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เช่น ปริมาณฝนหรือความเร็วลม เป็นต้น ช่วยเพิ่มความแน่นอนในการเคลม
ความผันผวนของตลาดอาจเป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงเงินทุนเพื่อบริหารความเสี่ยง และข้อเสนอประกันภัยในเงื่อนไขที่ดี โดยเฉพาะสำหรับองค์กรที่มีความเสี่ยงซับซ้อนหรือมีโปรไฟล์ความเสี่ยงสูง ในสถานการณ์เช่นนี้ ความเชี่ยวชาญด้านการจัดวางประกันภัย (placement) จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเปิดโอกาสเข้าถึงขีดความสามารถของการรับประกันภัย (insurance capacity) ที่เหมาะสม พร้อมอัตราค่าเบี้ยที่แข่งขันได้ และเงื่อนไขที่เอื้อต่อความคุ้มครองอย่างยั่งยืน โดย Marsh ใช้ประโยชน์จากเครือข่ายระดับโลกและความสัมพันธ์ที่ดีกับบริษัทประกันภัย เพื่อช่วยลูกค้าเจรจาต่อรองและได้รับข้อเสนอที่ดีที่สุดตลอดทุกวัฏจักรของตลาด
องค์กรของคุณจะได้รับประโยชน์จากการทำงานร่วมกับ Marsh ในการเป็นตัวแทนเจรจาต่อรองกับผู้รับประกันภัย โดยแสดงให้เห็นถึงความพยายามในการพัฒนาความเสี่ยงขององค์กรคุณ พร้อมนำเสนอข้อมูลความเสี่ยงเชิงลึกอย่างเป็นระบบในช่วงต่ออายุกรมธรรม์ คุณยังสามารถเข้าถึงตัวเลือกการจัดวางประกันแบบพิเศษ เช่น Fast Track Facility ของ Marsh ที่เพิ่มขีดความสามารถในการรับประกันภัยได้อีก 10% และมอบส่วนลดเบี้ยประกัน 2.5% สำหรับหลายหมวดความคุ้มครอง
Marsh ช่วยเพิ่มความคุ้มครองประกันทรัพย์สินให้ผู้ผลิตไทย ท่ามกลางความเสี่ยงจากน้ำท่วมและไฟไหม้
ผู้ผลิตในประเทศไทยรายหนึ่งประสบปัญหาในการต่ออายุประกันสินทรัพย์เนื่องจากประวัติเคลมจากน้ำท่วมและไฟไหม้ ทีม Placement และ Risk Engineering ของ Marsh ช่วยพิสูจน์ว่าลูกค้าได้พัฒนาความเสี่ยงให้ดีขึ้น จึงสามารถปรับโครงสร้างโปรแกรมประกันใหม่ ด้วยการใช้กลยุทธ์ Quota Share และ Non-Proportional Capacity ทำให้ลูกค้าได้รับความคุ้มครองที่ดีขึ้นในราคาที่ลดลง
ภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้น ทำให้มูลค่าและความซับซ้อนของการเคลมประกันเพิ่มขึ้นตามไปด้วย บริษัทประกันจึงเข้มงวดมากขึ้นในการตรวจสอบเอกสารและการตีความเงื่อนไขความคุ้มครอง แต่การยืนยันสิทธิการเคลมอาจเป็นเรื่องท้าทาย ซึ่งธุรกิจของคุณอาจไม่สามารถจัดเตรียมเอกสารได้ครบถ้วน หรืออาจไม่เข้าใจข้อกำหนดและข้อยกเว้นในกรมธรรม์ทั้งหมด ซึ่งเป็นสาเหตุให้การเคลมล่าช้าหรือได้ค่าสินไหมไม่เต็มจำนวน องค์กรของคุณสามารถพิจารณานำแนวปฏิบัติเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเรียกร้องค่าสินไหมมาใช้ เพื่อเพิ่มโอกาสในการได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุดจากการเคลมประกัน
แนวปฏิบัติที่ควรกระทำ
สิ่งที่ไม่ควรทำ
เหตุแผ่นดินไหวล่าสุดในเมียนมาและไทยตอกย้ำถึงความสำคัญของการเตรียมความพร้อมและการแจ้งเหตุอย่างทันท่วงที ตั้งแต่การให้คำแนะนำด้านความพร้อมในการเคลมและการจัดทำเอกสารความเสียหาย ไปจนถึงการสนับสนุนตลอดกระบวนการ ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการเคลมของ Marsh สามารถช่วยยกระดับผลลัพธ์ในการเรียกร้องค่าสินไหมของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ด้วยประสบการณ์กว่า 70 ปีในเอเชีย Marsh พร้อมสนับสนุนองค์กรกว่า 35,000 แห่ง ในการออกแบบโปรแกรมประกันภัยและกลยุทธ์บริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม คุ้มค่า และตรงตามความต้องการของธุรกิจแต่ละราย
Marsh พร้อมทำงานร่วมกับองค์กรคุณเพื่อเสริมความแกร่งให้ธุรกิจของคุณในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การระบุความเสี่ยงไปจนถึงผลลัพธ์จากการเคลม เพื่อให้คุณพร้อมในเวลาที่สำคัญที่สุด